> SET > SCB

23 มกราคม 2020 เวลา 07:30 น.

SCBเคลียร์ประเด็น เจ็บเพื่อดันอนาคต

ทันหุ้น- บิ๊ก SCB แจงธนาคารยังแกร่ง ชี้ NPL ที่ปรับเพิ่มขึ้น เกิดจากความตั้งใจสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มผ่านการตั้งสำรองให้สูงกว่าปกติ ชี้หากลูกหนี้รอดจะกลับมาพลิกบวก พร้อมทยอยลดสำรองดันกำไรปีนี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายจะลดลง เดินหน้าขยายสินเชื่อ 3-5% ชี้ปีนี้ปี NEW GROWTH ต่อยอดดิจิทัล


นายอารักษ์ สุธีวงศ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ชี้แจงกับ ทีมงานทันหุ้น ว่า ธนาคารยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แม้จะมีประเด็นเรื่อง NPL ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2562 โดยประเด็นดังกล่าวเกิดจากที่ธนาคารปรับเกณฑ์ในการจัดชั้นหนี้ให้เข้มข้นขึ้น หลังจากธนาคารมีรายได้จากการขาย SCB LIFE เข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นจึงใช้เกณฑ์คอนเซอร์เวทีฟ ปรับธุรกิจที่ธนาคารดูว่าไม่เป็นปกติ หรือไม่ค่อยมั่นใจ เข้าสู่ NPL และตั้งสำรอง แม้ว่าจะธุรกิจนั้นมีการจ่ายหนี้ล่าช้าเพียง 30วัน โดยไม่ต้องรอให้ต้องจ่ายช้าถึง 90 วัน


ขณะเดียวกันธนาคารได้ตั้งค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้ต่อสินเชื่อ (Credit Cost)170 bpsซึ่งจะเป็นสร้างภูมิคุ้มกันในปี 2563นี้ หากเศรษฐกิจออกมาทั้งปีแย่ ก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบา ผลประกอบการก็จะไม่แย่ แต่หากเศรษฐกิจพลิกกลับมาเป็นบวกได้ ลูกหนี้ที่ธนาคารตั้ง NPL สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ธนาคารก็จะได้รับผลบวกกลับมาทันทีจากการคืนสำรอง


@สำรองลดลุ้นพลิกบวก

ซึ่งนโยบายของธนาคารได้ประกาศชัดเจนว่าในปี 2563จะวางระดับการตั้งสำรอง 120-130 bpsดังนั้นปีนี้ธนาคารจะสัดส่วนสำรองลงมาจาก 170bpsและหากลูกหนี้ที่ตั้ง NPL ไว้ไม่มีปัญหาก็จะส่งผลดีกับธนาคารซึ่งจากเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการจัดชั้นหนี้ของ SME นั้นก็จะช่วยให้ NPL ลดต่ำลงด้วย


สำหรับประเด็นเรื่อง ค่าใช้จ่ายปี 2562 ที่เพิ่มสูง นั้น แม้ว่าธนาคารจะผ่านพ้นช่วงทรานฟอเมชั่นมาแล้ว เป็นเพราะธนาคารจะต้องมีการตัดค่าเสื่อมจากการลงทุนระบบทรานฟอเมชั่นขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่สูงเนื่องจากธนาคารยังไม่ได้ปรับสาขาลงมากเกินไป เพราะลูกค้าเป้าหมายยังคุ้นเคยกับการดำเนินธุรกรรมกับสาขาอยู่ ทำให้มีรายจ่ายทั้งโครงสร้างพื้นฐานเดิมและดิจิทัล


เช่นเดียวกันกับลูกค้าประกันและที่ปรึกษาทางการเงินบุคคลที่มีความมั่งคั่งที่ยังมีการดำเนินการทั้งสาขาและช่องทางใหม่ที่เข้าถึงลูกค้า อยู่ 2 ระบบ อย่างไรก็ดีธนาคารยังคงเดินหน้าในการลดสาขาปีนี้อีกราว 100 สาขา ก็จะปรับลดลงต่อเนื่องไป


@ค่าใช้จ่ายผ่านจุดพีค

ส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานที่ยังคงเพิ่มขึ้นเกิดจากมีการปรับเปลี่ยนผู้ที่มีความชาญด้านเทคโนโลยี ดาต้า เข้ามาซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าพนักงานบริการ อย่างไรก็ดี นายอารักษ์ ยืนยันว่า ปี 2562 จะเป็นปีที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงสุดแล้ว และจะลดลงต่อเนื่องในปี 2563


สำหรับกรณีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยฝากและกู้ (NIM) ไตรมาส 4/2562 ที่ลดลงจากไตรมาส 3/2562 นั้นเกิดจากตัวเลขที่เพี้ยนไปจากการขาย SCB LIFE ทำให้ NIM ปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าเทียบทั้งปี 2562 กับ 2561 จะพบว่า NIM สูงขึ้น


อย่างไรก็ดีจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงที่ผ่านมา ทำให้มีการกดดัน NIM ซึ่งสิ่งที่ธนาคารจะดำเนินการก็คือการขยายสินเชื่อซึ่งตั้งเป้าไว้เติบโต 3-5% โดยจะมาจากสินเชื่อส่วนบุคคลที่จะให้ผลตอบแทนสูง และธุรกิจขนาดใหญ่ที่ยังคงมีการขยายตัว เช่นการซื้อกิจการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้สินเชื่อ ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อมีหลักประกันอสังหา สินเชื่อรถยนต์ จะไม่เน้นขยายมากนัก ซึ่งจะส่งผลให้ NIM ทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อยที่ 3.2-3.4%


@ NEW GROWTH ต่อยอดดิจิทัล

นอกจากนี้ธนาคารก็ยังจะเดินหน้าในการใช้กระแสเงินสดที่มีอยู่จากการขาย SCB LIFE ที่มีอยู่ 80,000 ล้านบาท แบ่งมา 20,000 ล้านบาทในการลงทุน หรือร่วมทุนธุรกิจที่เกี่ยวพันกับดิจิทัล ซึ่งไม่ใช่การทรานฟอเมชั่น แต่เป็นการต่อยอด เช่นการลงทุนใน แพลตฟอร์มใหม่ ๆ กับพันธมิตร หรือ แม้กระทั้งการปั้นยูนิคอน ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการร่วมลงทุนบ้างและประสบการณ์ในการปั้นบริษัทเพื่อไปหาเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ได้


ส่วนการลงทุนกับเมียนมานั้น ยังเป็นในด้านการสนับสนุนลูกค้าที่ต้องการไปต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นการเข้าซื้อกิจการแบงก์ เนื่องจากบริษัทมองถึงผลตอบแทนจะต้องมี ROE สูง กล่าวคือต้องได้ในราคาที่ดี ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มี แต่บริษัทก็มองภาพในการรุกต่างประเทศด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งเป็นแนวโน้มในการขยายธุรกิจมากกว่า


นายอารักษ์ สรุปว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่สำคัญของSCB ที่จะเห็นผลจากการทรานฟอเมชั่น ทั้งรายได้ และต้นทุนที่ลดลง ขณะเดียวกันในการเติบโตจะเห็นการเติบโตรูปแบบใหม่ การสร้างนิวโกรทให้กับธนาคาร ด้วยการพัฒนาบริการที่ต่อยอดบนแพลตฟอร์มรากฐานดิจิทัลที่บริษัทได้ดำเนินการไว้ ซึ่งจะสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว


สำหรับนโยบายปันผลที่ปรับเป็นไม่น้อยกว่า 30% นับว่าเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้นเนื่องจากจะไม่มีเพดาน 50% มากำหนด เนื่องจาก ตอนนี้เงินสำรองกองทุนต่างๆ มีค่อนข้างเยอะ ดังนั้นบริษัทจึงตัดเพดานออกไปเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการจ่ายปันผลให้มากขึ้น

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X