> SET > DTCENT

21 ธันวาคม 2022 เวลา 15:15 น.

หุ้น DTCENT อัพไซด์เพียบ! เทียบเป้าหมายกูรูให้ 3.20-3.30 บ.

#ทันหุ้น - DTCENT มีอัพไซด์อีกเพียบราว 58-63% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายที่กูรูหุ้นให้ไว้ช่วงราคา 3.20 - 3.30 บาท ประเมินธุรกิจ IoT Solutionโตแรง -บุกขยายต่างประเทศผนึกความร่วมมือของ "ยาซากิ-บุญรอด ซัพพลายเชน"ดันกำไรปี66 พุ่ง 118% ขณะที่คาดค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้น 3 ปีสูงเกิน 50% ต่อเนื่อง พร้อมเร่งพัฒนา และวิจัยโครงการที่อยู่ใน Mega trend ของประเทศ สนับสนุนอนาคตโตก้าวกระโดด


บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ได้ประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ของ DTCENT ราว 3.30 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี Prospective PER เทียบกับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอุปกรณ์และระบบ Global Positioning System (GPS) ที่ระดับ 24 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประกอบกับคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 2566 ราว 0.14 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมราว 3.30 บาท


ฝ่ายวิจัยคาดการณ์รายได้ปี 2565-66 ราว 702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%จากงวดเดียวกันปีก่อนตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 29% ต่อปี โดยมีปัจจัยเติบโตจาก 1) ธุรกิจ GPS Tracking ฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง 2) รายได้จากกลุ่มบริษัทย่อยที่จำหน่าย Software และ Application ใหม่ปีนี้ และ 


3) กลุ่มงาน IoT Solution ของภาครัฐ เริ่มเปิดประมูลมากขึ้น ส่วนสมมติฐาน %GPM คาดที่ระดับ 49-50% อ่อนลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 56% จากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม ประกอบกับงาน IoT Solution ที่มาร์จิ้นราว 30% มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ %SG&A คาดจะปรับลดลงมาที่ระดับ 27-31% จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 34% จากการประหยัดจากขนาด ส่งผลให้คาดการณ์กำไรปี 2565-66 ราว 106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55%จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 46% ต่อปี


บทวิเคราะห์บล.เอเอสแอล ระบุว่าได้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2566 เท่ากับ 3.24 บาท อิง Justified PE ที่ระดับ 24.87 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่ม SETTECH ที่ระดับ 26.54 เท่า ซึ่งมองว่ามีความน่าสนใจ เมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ย CAGR ของกำไรสุทธิในปี 2565F – 2566F ที่ระดับ 52.4% โดยมาจากแนวโน้มผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 มาพร้อมกับแนวโน้มของธุรกิจที่เติบโต 


โดยเฉพาะการให้บริการ IoT ที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าบริษัทจะสามารถได้รับการประมูลงานจากภาครัฐ โดยจะเริ่มเห็นมูลค่าที่มีนัยยะตลอดปี 2566 รวมถึงความเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการระบบอุปกรณ์ GPS Tracking ที่ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ตลอดจนยังมี upside จากการเป็นพันธมิตรร่วมกับ YAZAKI ที่จะมีโอกาสทำการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านบริษัทในเครือของ YZK ที่มีอยู่ 140 บริษัท ใน 45 ประเทศทั่วโลก และกับกลุ่มบุญรอด ที่ร่วมกันพัฒนา Supply chain solution ซึ่งมีโอกาสขยายไปยังบริษัทในเครือเพื่อจัดการต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการเกิด synergy ต่างๆ ของธุรกิจในอนาคต


นอกจากนี้ DTCENT ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและวิจัยโครงการที่อยู่ใน Mega trend ของประเทศไม่ว่าจะเป็น EV plat form, Smart city solution, ระบบการจัดการน้ำ, Elder Helper, UDEE (อยู่ดี), Logistic Demand-Supply Matching platform และ AI สำหรับ Tracking – IoT solution ซึ่งเรามองเป็น hidden value ของบริษัทที่พร้อมจะ unlock ในอนาคต


ประมาณการรายได้ปี 2565-2567 เท่ากับ 709.1 ล้านบาท (+21.1%จากปีก่อน), 1,013.2 ล้านบาท (+42.9%) และ 1,144.7 ล้านบาท (+13.0%) คิดเป็น CAGR ในช่วง 3 ปี เท่ากับ 27.1% โดยรายได้จากการขายเติบโตโดดเด่นจากรายได้โครงการและงาน IoT ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยยะในปี 2566 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2565-2567 เท่ากับ 50.0%, 51.2% และ 52.5% ตามลำดับ


สำหรับกำไรสุทธิในปี 2565-2567 เราคาดการณ์ที่ระดับ 86.83 ล้านบาท (+12.4%จากปีก่อน), 157.2 ล้านบาท (+81.0%จากปีก่อน) และ 201.6 ล้านบาท (+28.3%จากปีก่อน) ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรสุทธิ ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 12.2%, 15.5% และ 17.6% ตามลำดับ


ขณะที่ บทวิเคราะห์ของบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าได้ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับปี 2023 ที่ 3.20 บาทอิง PE 17.0 เท่า ไม่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายใดที่ทำธุรกิจเหมือนกับ DTC เราอิงผู้ประกอบการในโลกที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ GPS, ผู้ผลิต Hardware และ Software ในระบบยานยนต์, ผู้ผลิตอุปกรณ์กล้อง เป็นต้น บริษัทเหล่านี้มีค่า PE เฉลี่ยในปี 2023 ที่ 17.8 เท่า โดยหลายรายมีความสามารถในการทำกำไรไม่เทียบเท่าบริษัท ขณะที่ค่าเฉลี่ย ROE ใกล้เคียงกัน


โดยคาดกำไรสุทธิปี 2565 ฟื้น 31.8% และก้าวกระโดด 118.7% จากปีก่อนในปี 2566 และโตต่อเนื่อง 5.2% จากปีก่อนในปี 2567 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 51.7% CAGR (2022-2024) จากธุรกิจหลักเดิม และการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมการเพิ่มขึ้นของโครงการ IoT โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 25 ของบริษัทและพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มยาซากิและเครือบุญรอด


ทั้งนี้หากนำราคาเป้าหมายของแต่ละโบรกเกอร์มาเปรียบเทียบกับราคาปิดของ DTCENT เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ 2.02 บาท พบว่ายังมีอัพไซด์มากถึง 58-63%


โบรกเกอร์           ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)    อัพไซด์(%)

บล.โกลเบล็ก                      3.30                      63.36

บล.เอเอสแอล                     3.24                      60.39

บล.ฟินันเซีย ไซรัส             3.20                      58.41


*เปรียบเทียบกับราคาปิด 2.02 บาท (ณ วันที่ 20 ธ.ค.65)



รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X