> SET > JMART

10 มิถุนายน 2023 เวลา 10:30 น.

ด้อมเจมาร์ท "กรี๊ดเลย...ไม่ต้องกลั้นเอาไว้" JMT เด่น-SINGER เสี่ยง

#JMART #ทันหุ้น-ทีมข่าวทันหุ้นได้รวบรวมบทวิเคราะห์ในหุ้นกลุ่มเจมาร์ท ซึ่งข้อมูลจากข้อมูลในเว็บไซต์ settrade.com ที่ผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ IAA ซึ่งพบว่ามีการอัพเดทหุ้น JMART ใน 2 โบรกเกอร์ ได้แก่บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมาย 22 บาทต่อหุ้น และบล. เอเซีย พลัส แนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมาย 26 บาทต่อหุ้น


นอกจากนี้ก็มีบริษัทในกลุ่มเจมาร์ท ได้แก่หุ้น JMT มี 6 ราย โดยบล.ทรีนีตี้ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 66 บาทต่อหุ้น แนะนำซื้อ ส่วนรายที่ให้ราคาต่ำสุดคือบล.บัวหลวง ให้ 38 บาทต่อหุ้น แนะนำถือ ส่วนรายอื่นๆอีก 4 รายประกอบด้วย บล.กรุงศรี พัฒนสิน แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 56 บาทต่อหุ้น, บล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาทต่อหุ้น, บล.เอเซีย พลัส แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 46 บาทต่อหุ้น, บล.ดาโอ (ประเทศไทย) แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 54 บาทต่อหุ้น


หุ้น SINGER มีโบรกเกอร์ 3 ราย แนะนำขายทั้งหมด โดยบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้ราคาสูงสุดที่ 9.75 บาทต่อหุ้น รองลงมาได้แก่บล.กสิกรไทย ให้ราคาเป้าหมายที่ 9 บาทต่อหุ้น และบล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายที่ 6 บาทต่อหุ้น


และหุ้น SGC มีโบรกเกอร์ 1 ราย คือบล.กสิกรไทย แนะนำขาย ให้ราคาเป้าหมาย 1.50 บาทต่อหุ้น 


**JMT เด่น 


บล.บัวหลวง ระบุว่า JMT ได้ลงนามซื้อหนี้ด้อยคุณภาพประเภทหนี้ไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหารมูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์นั้น ทำให้หนี้ที่บริหารทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4 แสนล้านบาท (JMT และ JK AMC)  ซึ่ง JMT ไม่ได้เปิดเผยต้นทุนในการซื้อหนี้ดังกล่าว แต่ฝ่ายวิจัยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ราว 5-6 พันล้านบาท ซึ่ง JMT ตั้งเป้าปีนี้จะซื้อหนี้ที่ 1.0-1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งปกติหนี้ที่ไม่มีหลักประกันส่วนใหญ่จะใช้เวลาราว 3-6 เดือนในการจัดเตรียมข้อมูลลูกหนี้ ถึงจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ ทำให้คาดว่า JMT จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากหนี้ที่ซื้อเข้ามา 6 หมื่นล้านบาทดังกล่าวตั้งแต่ไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป 


"เรามองว่าการลงทุนดังกล่าวจะยังไม่ได้ส่งผลบวกต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2566 แต่เราประเมินว่าจะส่งผลบวกในระยะยาว จากการได้หนี้มาบริหารเพิ่มขึ้น โดยเรายังแนะนำถือ ให้ราคาเป้าหมายที่ 38 บาทต่อหุ้น โดยมองว่า Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัวแล้ว" ฝ่ายวิจัยบัวหลวงระบุ


ทั้งนี้ราคาหุ้น JMT ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่มูลค่ายังคงดูตึงตัว รวมถึงหุ้นมีแนวโน้มที่จะหลุดออกจาก SET50 เมื่อมีการปรับหุ้นในดัชนีในเดือน ก.ค. 2566 ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปีนี้ที่ 2.1 พันล้านบาท เติบโต 20.3% และนับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ บนสมมุติฐานการเรียกเก็บเงินปีนี้อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท เติบโต 23% หนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐหิจที่ช่วงหลังโควิดและการขยายพอร์ตหนี้ JK AMC จะสร้างกำไรสุทธิให้กับบริษัทมากขึ้น


บล.ทรีนีตี้ มีมุมมองบวกต่อการที่ JMT ซื้อหนี้ 6 หมื่นล้านบาทดังกล่าว นับเป็นการซื้อหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดของ JMT ซึ่งคาดว่าจะมีต้นทุนที่ใช้ประมูลราว 5-6 พันล้านบาท ทำให้ภาพรวมครึ่งปีแรกบริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วราว 6-7 พันล้านบาท เกือบถึงครึ่งของเป้างบลงทุนซื้อหนี้ในส่วน Upper Bound ทั้งปีที่บริษัทตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งปกติแล้วการขายหนี้จากสถาบันการเงินในครึ่งปีหลังมักจะสูงกว่าครึ่งปีแรกมาก ทำให้ภาพรวมทั้งปีบริษัทอาจซื้อหนี้ได้สูงกว่าเป้าที่วางไว้ได้ และเมื่อรวมกับโอกาสในการเติบโตของ JK AMC ที่คาดว่าจะมีการรับโอนหนี้มาจาก KBANK เพิ่มเติม จึงคาดว่ากำไรทั้งปีจะเติบโตถึงเป้าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ว่าโต 31% จากปีก่อนได้ไม่ยาก 


ฝ่ายวิจัยทรีนีตี้ ยังคงแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 66 บาท มองว่าช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นอ่อนตัวลงมามากทำให้มี Upside ค่อนข้างสูง 


ด้านบล.กรุงศรี พัฒนสิน ยังคงคำแนะนำซื้อหุ้น JMT ให้ราคาเป้าหมายที่ 56 บาทต่อหุ้น มองบวกต่อการซื้อหนี้ก้อนใหญ่ 6 หมื่นล้านบาท นับเป็นการซื้อหนี้ก่อนใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท คาดว่าบริษัทใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้ดังกล่าวอยู่ที่ 6-9 พันล้านบาท ซึ่งหากรวมกับไตรมาส 1/66 ที่ซื้อไปแล้ว 1.4 พันล้านบาท ทำให้มีโอกาสปีนี้จะทะลุเป้าลงทุนของบริษัทที่ 1.0-1.5 หมื่นล้านบาท 


โดยคาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 จะเพิ่มขึ้น ตาม  cash collection ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ที่คาดว่ายังดีต่อเนื่อง โดยประเมินกำไรปี 2566 ที่ 2,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% ตาม cash collection ที่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และการซื้อหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้หลังสถาบันการเงินเตรียมขายหนี้มากขึ้น หลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงสิ้นปีนี้ส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ หลังเริ่มดำเนินการเต็มที่ 


**SINGER ไม่สดใส


บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำขายในหุ้น SINGER พร้อมทั้งปรับลดประมาณการปี 2566 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 1.5 พันล้านบาท จากเดิมคาดมีกำไร 429 ล้านบาท และในปี 2567 ปรับลงเป็นกำไรอยู่ที่ 532 ล้านบาท จากเดิมคาดอยู่ที่ 834 ล้านบาท เนื่องจากปรับเพิ่ม credit cost เป็น 14.6% และ 4.4% จากเดิม 6% และ 4% และใส่สมมติฐานว่าจะมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ 650 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนปีหน้าไม่มีรายการนี้ และปรับลดยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นปีนี้ ลดลง 28% จากเดิมคาดลดลง 20% ส่วนในปีหน้าคาดเพิ่มขึ้น 13% จากเดิมคาดโต 5% ซึ่งทำให้ฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมายหุ้น SINGER ลงมาอยู่ที่ 9.75 บาทต่อหุ้น จากเดิมอยู่ที่ 11.60 บาทต่อหุ้น 


"เราคิดว่า SINGER จะต้องใช้เวลานานขึ้นในการพลิกฟื้นจากที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานมาเป็นกำไร และต้องใช้เวลานานยิ่งขึ้นกว่านั้นเพื่อทำให้นักลงทุนกลับมามั่นใจต่อแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจว่าจะแข็งแรง และต่อเนื่องได้ในระยะยาว ซึ่งผลขาดทุนสุทธิสูงถึง 843 ล้านบาทในไตรมาสแรกปีนี้ เป็นผลของการเร่งโตจนทำให้เกิดหนี้เสียและส่งผลให้บริษัทตั้งขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ 490 ล้านบาทที่เกิดจากสินค้าคงคลัง และมีการตั้งสำรองหนี้เสีย 942 ล้านบาท" ฝ่ายวิจัยเคจีไอฯ ระบุในบทวิเคราะห์ 


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X