> SET > BCP

09 สิงหาคม 2023 เวลา 13:53 น.

BCP ไตรมาส 2 กำไร 458 ล. -91% ดีกว่าคาด บล.กรุงศรีพัฒนสินแนะ “ซื้อ” เป้า 50 บ.

#BCP #ทันหุ้น - บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งผลการดำเนินงวดไตรมาส 2/66 มีกำไรสุทธิ 458.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.24 บาท ลดลง 91% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 5,276.23 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.79 บาท

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน 2566 มีกำไรสุทธิ 3,199.05 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.16 บาท ลดลง 67% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 9,632.54 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.91 บาท


ผลประกอบการของ BCP ออกมาดีกว่าที่โบรกเกอร์คาดการณ์ โดย บล.กรุงศรีพัฒนสินคาดว่า ในไตรมาส 2/66 BCP จะมีกำไรสุทธิ 352 ล้านบาท ลดลง 93% ใกล้เคียงกับ บล.ฟินันเซียไซรัสที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท ขณะที่ บล.เคจีไอคาดว่า BCP จะทำกำไรได้ถึง 517 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 90%


ทั้งนี้ บล.กรุงศรีพัฒนสิน และ บล.ฟินันเซียฯ แนะนำ “ซื้อ” BCP ให้ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท และ 42.70 บาท ตามลำดับ ขณะที่ บล.เคจีไอ ให้คำแนะนำ “ถือ” ราคาเหมาะสมที่ 39.00 บาท


บริษัทแจ้งว่า กลุ่มบริษัทบางจากรายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้รวม 148,403  ล้านบาท มี EBITDA 17,620 ล้านบาท โดยราคาพลังงานที่ปรับลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก ทำให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ดี การลงทุนในส่วนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเติมในนอร์เวย์ของ OKEA จาก Wintershall Dea และการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติสองแห่งในสหรัฐอเมริกา ช่วยหนุนการขยายธุรกิจและเพิ่มรายได้โดยรวม ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 3,199 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.16 บาท


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2566 แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายและได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 78.92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจาก102.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในครึ่งปีแรกของปี 2565 และมี Inventory Loss จำนวน 2,952ล้านบาท กลุ่มบริษัทบางจากยังสามารถรักษาผลการดำเนินงานและทำรายได้ต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 148,403 ล้านบาท คิดเป็น EBITDA 17,620 ล้านบาท


ผลการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2566 มีดังนี้

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 5,402 ล้านบาท จากค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับลดลงจาก 15.87เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในครึ่งแรกของปี 2565 มาอยู่ที่ 8.10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักมาจาก Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์ปรับลดลงตามภาวะตลาดโลก โดยในครึ่งแรกของปีมีการรับรู้ Inventory Loss 3.23 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลหรือเทียบเท่า 2,443 ล้านบาทตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ทั้งนี้ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ยังคงอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่สูงในระดับ 121,700 บาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็นร้อยละ 101 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น


กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 1,290 ล้านบาท โดยค่าการตลาดรวมสุทธิต่อหน่วยปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถปรับราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนน้ำมันได้มากขึ้น ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโตสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ที่ 3,191 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของน้ำมันอากาศยาน รวมถึงการผลักดันยอดจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้น


กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA รวม 1,841 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลจากการทยอยสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ และการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป. ลาว ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการหยุดผลิตไฟฟ้าเพื่อเตรียมขายไฟฟ้าไปยัง การไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม ทั้งนี้ BCPG ได้มีการประกาศเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 โครงการในประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้เพิ่มกำลังการผลิตจาก 390.7 เมกะวัตต์เป็น 968.7 เมกะวัตต์


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 245 ล้านบาท โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลมีกำไรขั้นต้นปรับลดลงจากราคาขายไบโอดีเซล กลีเซอรีนดิบและกลีเซอรีนบริสุทธ์ที่อ่อนตัว ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีรายได้จากการขายและกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาขายเอทานอลเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP) มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวกับการดูแลและส่งเสริมสุขภาพภายใต้แบรนด์ B nature+


กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA รวม 9,115 ล้านบาท ปริมาณจำหน่ายของ OKEA เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 93เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 1 ของปี 2566 และการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มครึ่งแรกของปี 2566 จากแหล่งผลิตที่รับโอนกิจการมาจาก Wintershall Dea ตั้งแต่ไตรมาส 4ปี 2565


สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและให้บริการ 68,023 ล้านบาท EBITDA 6,628 ล้านบาท มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 458 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท โดยในไตรมาส 2 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกถูกกดดันและมีอุปทานส่วนเกินล้นตลาด ส่งผลให้มี Inventory Loss 1,036 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีปริมาณการผลิตใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2566 แต่ปริมาณจำหน่ายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ  กลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นมีปริมาณการจำหน่ายสูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศ สปป.ลาว ได้เริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในเดือนมิถุนายน 2566


กลุ่มบริษัทบางจากได้จัดทำโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” รับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่ปั๊มบางจากและจุดรับซื้อต่างๆ เพื่อมาผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สะท้อนรูปธรรมที่ชัดเจนของการดำเนินงานตามแผน BCP 316 NET เพื่อไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2573และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี2593


นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2566คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นจากสภาวะอุปทานในตลาดดึงตัวและอุปสงค์น้ำมันจากจีนที่ฟื้นตัวทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 3 ของปี 2566 ค่าการกลั่นของโรงกลั่นประเภท Cracking ที่สิงคโปร์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีตามปัจจัยหนุนจากตลาดน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวังและติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการทำงาน


ทั้งนี้ ตามที่บริษัทฯ ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จากบริษัท ExxonMobil Asia Holding Pte. Ltd. ขณะนี้บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบแบบมีเงื่อนไขจากสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้รวมธุรกิจเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินการรวมธุรกิจ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งเมื่อการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นจะเป็นการช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจน้ำมันให้กับกลุ่มบริษัทบางจาก ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลดีต่อประเทศ ทั้งการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และส่งต่อประโยชน์สู่ทั้งคู่ค้าและผู้บริโภค

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X