ROJNA ธุรกิจไฟฟ้าถ่วง ซ้ำหุ้น GULF ร่วง

#ROJNA #ทันหุ้น - บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาด นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หรือ ROJNA รับผลลบปรับลดค่าไฟ และราคาหุ้น GULF ปรับลด

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.ได้ปรับลดค่าไฟฟ้าลงมา 2 ครั้ง ติดกัน ตั้งแต่มีรัฐบาลใหม่เข้ามา เพื่อลดภาระให้กับประชาชน ล่าสุดได้ปรับลด เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย จากเดิมที่ 4.10 บาท นั่นคือ ได้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft ลง เป็นผลให้ผู้จำหน่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP) ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าที่เป็นอุตสาหกรรม (IU) จะมีรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลงได้

การที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเป็นสัดส่วนมากที่สุด ณ ครึ่งปีแรก 66 เป็น 73% จากรายได้ทั้งหมด จึงคาดว่าจะได้รับผลกระทบทางลบอยู่พอควร แม้อัตรากำไรไฟฟ้าจะไม่มากเท่ากับนิคมฯก็ตาม สำหรับนิคมฯสัดส่วนรายได้เป็น 24% จากรายได้ทั้งหมด รวมถึง ราคาหุ้น GULFปรับลงมาแล้วถึง 19% อยู่ที่ราว 44.75 บาท การที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 110 ล้านหุ้น หรือประมาณ 0.9% ของจำนวนหุ้น GULF ทั้งหมด ก็จะต้องมีการบันทึกผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุน (Unrealize Loss) อีกทั้งเงินบาทที่อ่อนค่ามาก YTD ลงมาแล้ว 7% ที่ 36.90 บาท ก็มีโอกาสจะบันทึกขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ได้อีกด้วย แต่คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q66F จะช่วยพยุงหุ้น เพราะกำไรดูฟื้นตัวดี คาดว่ากำไรสุทธิ 3 ปีนี้ เป็น 343 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตามหากไม่นับรายการพิเศษคือ กำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น คาดว่ากำไรหลักของไตรมาส 3 เป็น 514 ล้านบาท ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาคาดว่าธุรกิจนิคมฯทรงตัว แต่ธุรกิจไฟฟ้าเริ่มได้รับผลลบจากการปรับลดค่า FT งวดใหม่ลงตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.66 ซึ่งคาดดว่าไตรมาส 3 ได้รับผลกระทบ 1 เดือนคือ ก.ย. 66 แตคาดการณ์ว่าไตรมาส 4 นี้ จะได้รับผลลบเต็มไตรมาส

ปรับประมาณการลงสำหรับกำไรหลักปี 66 และ 67 ในอัตรา -14% และ -13% ตามลำดับเป็น 1,085/1,362 ล้านบาทตามลำดับ รายการหลักที่ปรับลงคือ รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าลดลงในอัตรา 3% ด้านอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจไฟฟ้ให้ลดลงเป็น7.5% จากเดิมที่ 8.5% ด้านรายการพิเศษก็ปรับให้ด้อยลง เพราะราคาหุ้น GULF ดิ่งลงมาก ขาดทุนจากเงินลงทุนเพิ่มเป็น -1,155 ล้านบาท จากเดิมเป็นกำไร 138 ล้านบาท และขาดทุนอัตราเปลี่ยนเพิ่มเป็น -65 ล้านบาท จากเดิมที่ -12 ล้านบาทเป็นผลให้คาดการณ์ปี 66 เป็นขาดทุนสุทธิ - 135 ล้านบาท และคาดการณ์ปี 67 เป็นกำไรสุทธิ 1,881 ล้านบาทปรับลดเพียง ถือ จากเดิมคือ ซื้อ สำหรับธุรกิจที่ยังไปได้ดีคือ นิคมฯ ยอดขายทำได้สูง จากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติ เช่น จีน, ญี่ปุ่น และไต้หวัน และแม้ได้ปรับให้กำไรในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าลดลง แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าปี 65 ซึ่งต้นทุนก๊าซในการผลิตไฟฟ้าสูงมาก นั้นคือ กำไรหลักปี 66 ที่ 1,085 ล้านบาท ฟื้นตัวดีกว่าปี 65 ที่ 216 ล้านบาท ส่วนกำไรหลักปี 67 ยังเติบโตได้ 25% เทียบกับปีก่อนหน้า

ด้านราคาพื้นฐานใหม่ประเมินด้วยวิธี SOP ลดลง สะท้อนการลดประมาณการ ได้ที่ 7.36 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 9.9% ไม่ถึงกับมากนัก และคาดการณ์ยิลด์ปันผลปี 66 และ 67 ที่ 4.5%/6.9% ถือว่ายังน่าพอใจ