#STI #ทันหุ้น - STI มองภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2567 ฟื้นตัวมากขึ้น จากงานภาครัฐที่มีการจัดสรรงบประมาณรอบใหม่ และงานภาคเอกชนที่จะทยอยกลับมาลงทุนเพิ่ม และบริษัทยังมองหาโอกาสการเติบโตในตลาด CLMV เพิ่มเติม โชว์ Backlog ปัจจุบันกว่า 3,789.6 ล้านบาทและมีแผนประมูลงานเพิ่มต่อเนื่อง

นายสมเกียรติ  ศิลวัฒนาวงศ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำในกลุ่มธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมปัจจุบัน เริ่มมีนักลงทุนต่างชาติติดต่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และมีการลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้งานอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยบริษัทประเมินว่าภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2567 จะเติบโตมากขึ้น

อีกทั้งมองภาพรวมผลการดำเนินงานจะเติบโตต่อเนื่อง จากงานภาครัฐที่กลับมาฟื้นตัวหลังตั้งรัฐบาลและมีการจัดสรรงบประมาณในรอบการดำเนินงานใหม่ พร้อมชูนวัตกรรมมาใช้ในการควบคุมงานก่อสร้าง เพิ่มความแม่นยำและลดเวลา สร้างโอกาสในการรับงาน พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่

และในปี 2567 บริษัทมองหาโอกาสการเติบโตในตลาด CLMV เพิ่มขึ้นโดยปัจจุบันบริษัทก็มีการเข้าไปทำงานในประเทศกลุ่มเหล่านี้บ้างแล้ว ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง

*ตุนงานในมือ 3.7 พันล.

ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2566 กลุ่ม STI มี Backlog รวม 3,789.6ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาครัฐ 80.5% และงานภาคเอกชน 19.5% ยังคงมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ One Bangkok ,งานก่อสร้างศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โซน C,งานศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย และยังมีงาน อาทิ รพ.สินแพทย์รามอินทรา, ศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา,รพ.น่าน และ อาคารศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา

รวมถึง โครงการรถไฟฟ้ารางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ , โครงการรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นต้น ซึ่งรวมแล้วบริษัทมีงานทั้งหมด 207 โครงการ ครอบคลุม 31 จังหวัด

*ปรับรอบบัญชีใหม่

บริษัทได้ปรับรอบระยะเวลาบัญชี เป็นเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี จากเดิมเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี โดยเริ่มเปลี่ยนรอบบัญชีในปี 2566 ดังนั้นงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 จึงจัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลา 9 เดือนเท่านั้นและมีรายได้ที่ 1,746.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9 ล้านบาท คิดเป็น 0.6%เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2565)และมีกำไรสุทธิ 133ล้านบาท

มาจากรายได้ของธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างลดลง 2.1%ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการยังไม่สามารถเดินหน้า โดยเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ในทางกลับกันรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น 39.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.4%สาเหตุหลักเนื่องมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นหลังโควิด-19 ที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในส่วนของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) (บริษัทในกลุ่ม) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรอบบัญชีในครั้งนี้ เป็นไปตามรอบบัญชีของบริษัทแม่

*บริหารความเสี่ยง

บริษัทได้มีแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงที่สำคัญด้านธุรกิจ อาทิ ความเสี่ยงจากการผันผวนของรายได้ การประกวดราคาแต่ละโครงการมีขั้นตอน ระเบียบและระยะเวลาที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง และโรคระบาด อาจส่งผลให้ผลการดําเนินงาน ในแต่ละช่วงเวลามีความผันผวนของรายได้ อย่างไรก็ดีกลุ่มบริษัทมีแนวทางในการบริหารความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว โดยกระจายความเสี่ยงจากการให้บริการเป็นวิศวกรที่ปรึกษาในโครงการหลากหลายประเภท เช่น คอนโดมิเนียม โครงการ Mixed use Development งานโครงสร้างพื้นฐาน และงานอนุรักษ์โบราณสถาน เป็นต้น

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1