#SALEE  #ทันหุ้น - SALEE ฉายภาพธุรกิจปี 65 เริ่มฟื้นตัว กำลังซื้อในประเทศคึกคัก แถมรัฐหนุนต่างชาติลงทุนพื้นที่ EEC ดันฐานลูกค้าเพิ่ม ออเดอร์ไหลเข้ามากขึ้น วางเป้าผลงานปี 65 เติบโต 10-15% จากปีก่อน อัดงบ 100-200 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

นายสุพจน์ สุนทรินคะ กรรมการและเลขานุการ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติกโดยกระบวนการขึ้นรูปพลาสติกและฉีดพลาสติก โดยมีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้าคุณภาพสูงและธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าพลาสติกประเภทของใช้ในครัวเรือน เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมในปี 2565จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องไปตามสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และความรุนแรงที่ลดลง

// ดันรายได้โต 15%

ทั้งนี้ทำให้กิจกรรมการค้า เศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศกลับมาดำเนินได้ดี และมีความคึกคักมากขึ้น ประกอบกับภาครัฐยังคงให้การสนับสนุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ EEC ทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และได้รับคำสั่งผลิต (ออเดอร์) เข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติก (OEM) ที่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมีแม่พิมพ์มาให้ ซึ่งอายุแม่พิมพ์จะอยู่ที่เฉลี่ยราว 2-3 ปี สะท้อนเสถียรภาพของคำสั่งซื้อที่บริษัทจะได้รับในอนาคต โดยสัดส่วนรายได้จากการ OEM คิดเป็นกว่า 40% ของรายได้รวม

โดยในปี 2565บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 10-15% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,306.73 ล้านบาท ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2565 บริษัทได้รับคำสั่งผลิตจากลูกค้าเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ฟื้นตัว ตามปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565จะมีการเติบโตที่ดีกว่าทั้งเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

// ต้นทุนวัตถุดิบขึ้น

กรณีต้นทุนวัตถุดิบพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวสูงของราคาน้ำมันโลก ซึ่งต้องยอมรับว่าต้นทุนวัตถุดิบพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทในไตรมาส 1/2565 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5-10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และสูงขึ้นกว่า 10-20%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน แต่อย่างไรก็ดีมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อบริษัท เนื่องจากออเดอร์ที่เป็น OEM จะถูกปรับราคาให้มีความสอดคล้องกับต้นทุนทางวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น-ลง ส่วนบริษัท เพชรสยาม (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีฐานลูกค้าเป็นโมเดิร์นเทรดนั้นอาจได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่น่าเป็นห่วง

ส่วนแผนการลงทุนในปี 2565บริษัทวางการใช้งบประมาณประจำปีไว้ที่ราว 100-200 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่จะเทน้ำหนักไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรผลิต ให้มีความทันสมัย และสามารถรองรับออเดอร์รูปแบบใหม่ๆ จากลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การลงทุนอื่นๆ บริษัทยังคงมีความสนใจและเปิดโอกาสในการศึกษาอยู่เสมอ แต่คงจะเน้นไปที่การหา Synergy เพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจหลักที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญมากกว่า เพราะมองว่าจะให้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากับทั้ง 2 ฝ่าย

รู้ทันเกม  รู้ก่อนใคร  ติดตาม  "ทันหุ้น"  ได้ทุกช่องทางเหล่านี้ 

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/ 

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA 

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_ 

APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA 

APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7 

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5 

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news 

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1