> SET > TMT

26 พฤษภาคม 2023 เวลา 10:39 น.

TMTปริมาณขายโค้งสองยังดี ลุ้นภาวะศก.กดราคาเหล็ก

#TMT #ทันหุ้น-TMT มองปริมาณการจำหน่ายไตรมาส 2/2566 ยังดี สวนทางภาพรวมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2-3/2566 ที่อาจไม่สดใสนัก ชี้เศรษฐกิจที่ถดถอยในสหรัฐ-ยุโรป กระทบดีมานด์เหล็กฉุดราคาปัจจุบันร่วงลงกว่า 10% จากไตรมาสแรกปีนี้ ด้านโบรกมองปี 2566 ปริมาณขายเติบโตได้ 5% และคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 18% เป็น 598 ล้านบาท แนะนำ "ซื้อ" เคาะเป้า 9 บาท


นายไพศาล ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมในไตรมาส 2/2566 และไตรมาส 3/2566 อาจยังไม่สดใสนัก เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้การก่อสร้างโครงการต่างๆ มีความล่าช้ากว่าปกติ อีกทั้งจากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจทำให้แผนการลงทุน งบประมาณปี และการเบิกจ่ายงบยังทำได้ไม่เต็มที่มากนัก


เศรษฐกิจไม่เอื้อ


สะท้อนต่อดีมานด์ความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่หดตัวในระยะนี้ แต่คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2566 สถานการณ์ต่างๆ จะคลายตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภาคเอกชนกลับมาเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น สำหรับสถานการณ์ในประเทศสหรัฐและยุโรปยังคงเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงต่อไป และโดยเฉพาะประเทศจีนที่มองว่าอาจเป็นดาวเด่นในปี 2566 นี้ แต่ผลทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมายังทำได้ไม่ดีเหมือนที่ตลาดคาดหวังนัก


ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลกระทบต่อราคาเหล็กในตลาดโลกและในประเทศปรับตัวลดลงในไตรมาส 2/2566 โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนตอนนี้อยู่ที่ระดับประมาณ 600-620 ดอลลาร์ต่อตัน ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 700 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาเหล็กทรงยาวปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 600 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งปรับตัวลดลงประมาณ 10% เช่นเดียวกัน


ทั้งนี้ แม่ว่าราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้นถึงกลาง แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษํทเป็นเหล็กคุณภาพพิเศษ ทำให้มีราคาที่สูงกว่าและยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ทำให้ยังคงมีออเดอร์ใหม่ๆ เข้ามาเติมอยู่ตลอด ดังนั้นจึงมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 จะยังคงอยู่ในระดับที่ดี แต่การเติบโตของรายได้และปริมาณการจำหน่ายทั้งปี 2566 อาจทรงตัวใกล้เคียงเมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย


พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปี 2566 ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 7-8% รวมถึงให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการดูแลและช่วยควบคุมต้นทุนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ลดภาระการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้กับลูกค้า บริษัทจัดการ Stock ที่มีให้เพียงพอต่อความต้องการ


อย่างไรก็ดี จาดนี้คงยังต้องให้การจับตาดูเรื่องของการเมืองในประเทศว่าจะสามารถจบลงได้เร็วแค่ไหน และแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนโครงการต่างๆ จะออกมามากน้อยแค่ไหนบ้าง โดยในปีนี้มองว่า GDP ประเทศไทยอาจเติบโตได้อยู่ที่ระดับ 2% สะท้อนต่อดีมานด์การลงทุนซ่อมแซมและก่อสร้างที่อาจไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวามากนักในปีนี้


โบรกแนะ "ซื้อ"


บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย ) คาดแนวโน้มปี 2566 คาดว่าปริมาณขายเติบโตได้ 5% หนุนโดยภาคก่อสร้างทั่วไปที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว และงานที่ชะลอไปในช่วงวิกฤติโควิด-19 เช่น โครงการลงทุนขนาดใหญ่ (รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ฯลฯ), โครงการในพื้นที่ EEC เป็นต้น


ทางฝ่ายคาดการณ์กำไรสุทธิปี2566 ขึ้น 18% เป็น 598 ล้านบาท  เติบโตก้าวกระโดด 147% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากฐานต่าปีก่อน ส่วนปี 67 คงคาดกำไรสุทธิไว้ที่ 699 ล้านบาท เติบโต 17% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน คงคำแนะนำ "ซื้อ" ปรับราคาพื้นฐานเป็น 9.0 บาท (เดิม 8.70 บาท)


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1


จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X