> SET > TMT

18 กรกฎาคม 2023 เวลา 15:26 น.

TMTมั่นใจยอดขายปี66โตต่อ เข้มคุมสต๊อก-จับตาการเมือง

#TMT #ทันหุ้น - TMT กางแผนครึ่งหลังปี 2566 คุมเข้มบริหารจัดการสต๊อกคงคลัง-ค่าใช้จ่าย มองดีมานด์ไตรมาส 3/2566 ชะลอตัวจากโลว์ซีซันเข้าฤดูฝน กระทบงานก่อสร้าง จับตาปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจประเทศหลัก เงินฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น และการเมืองในประเทศ มองยอดขายและรายได้ปี 2566 อาจเติบโตกว่าปีก่อนเล็กน้อย


นายไพศาล  ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2566 บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปี 2566 ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 7-8%


เข้าโลว์ซีซัน

รวมถึงให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการดูแลและช่วยควบคุมต้นทุนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ลดภาระการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้กับลูกค้า บริษัทจัดการ Stock ที่มีให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในปัจจุบันทำให้บริษัทยังคงคาดว่าการเติบโตของรายได้และปริมาณการจำหน่ายทั้งปี 2566 อาจทรงตัวใกล้เคียงเมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย


ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมในช่วง 6 เดือนหลังปี 2566 คาดว่าอาจยังไม่สดใสนัก เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2-3 ของทุกปีตามปกติจะเป็นโลว์ซีซันของธุรกิจ จากปัจจัยการเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้เป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างและการดำเนินงานอาจมีความล่าช้าไปมากกว่าไตรมาสอื่นๆ ประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังไม่มีความชัดเจน อาจทำให้แผนการลงทุน งบประมาณปี และการเบิกจ่ายงบยังทำได้ไม่เต็มที่มากนัก สะท้อนต่อดีมานด์ความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่หดตัวในระยะนี้


หวัง Q4 ปัจจัยลบคลี่คลาย

แต่คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2566 สถานการณ์ต่างๆ จะคลายตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภาคเอกชนกลับมาเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งจากการที่ประเทศสหรัฐและยุโรปยังคงเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อราคาเหล็กในตลาดโลกและในประเทศปรับตัวลดลงในไตรมาส 2/2566 โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนตอนนี้อยู่ที่ระดับประมาณ 600-620 ดอลลาร์ต่อตัน ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก


ขณะที่ราคาเหล็กทรงยาวปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 600 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งปรับตัวลดลงประมาณ 10% เช่นเดียวกัน แม้ว่าราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้นถึงกลาง แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นเหล็กคุณภาพพิเศษ ทำให้มีราคาที่สูงกว่าและยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ทำให้ยังได้รับออเดอร์ใหม่ๆ เข้ามาเติมอยู่ตลอด ดังนั้นจึงมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 จะยังคงอยู่ในระดับที่ดี


อย่างไรก็ดี สถานการณ์ต่างๆ ยังคงมีความผันผวนและไม่แน่นอนอยู่มาก โดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความต้องการใช้เหล็กในประเทศจีนยังไม่ฟื้นตัวดีนัก รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ทำให้การลงทุนโครงการต่างๆ ในระยะนี้อาจชะลอตัวลง จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน รวมถึงเห็นภาพนโยบายการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเริ่มดำเนินงาน แต่ก็คาดหวังว่าสถานการณ์ในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับปีนี้ หากปัญหาต่างๆ เริ่มคลายตัวลง


ก่อสร้างปีนี้ไม่หวือหวา

"ภาพรวมในช่วงครึ่งหลังปี 2566 นี้ มองว่าอาจยังไม่มีอะไรที่หวือหวามากนัก และยังคงต้องให้การจับตาดูเรื่องของการเมืองในประเทศว่าจะสามารถจบลงได้เร็วแค่ไหน และแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนต่างๆ จะออกมามากน้อยแค่ไหนบ้าง โดยในปีนี้มองว่า GDP ประเทศไทยอาจเติบโตได้อยู่ที่ระดับ 2% สะท้อนต่อดีมานด์การลงทุนซ่อมแซมและก่อสร้างที่อาจไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวามากนักในปีนี้ แต่เชื่อว่าหากอะไรๆ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในปี 2567 อาจมีทิศทางที่สดใสกว่า" นายไพศาล กล่าว

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X