> SET > UTP

22 มิถุนายน 2023 เวลา 12:08 น.

UTP เล็งส่งออก-ดีมานด์หด ปรับกลยุทธ์ปั้นสินค้าทำเงิน

#UTP #ทันหุ้น-UTP รับสภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซากระทบส่งออกไทยหดตัว กระทบความต้องการใช้งานกล่องกระดาษลด ด้านราคาจำหน่ายหดตัวลงตามราคาต้นทุนรับซื้อที่ลดลง เร่งปรับกลยุทธ์เน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำผิวกล่อง เพิ่มสัดส่วนเป็นกว่า 50% วางเป้ายอดขายรวมปี 2566 แตะระดับ 4.2 พันล้านบาท หรือมีปริมาณจำหน่ายรวมที่ 6.3 หมื่นตันต่อปี


นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ กรรมการ บริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UTP ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษคราฟต์ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2566 มองว่าอาจไม่ดีเมื่อเทียบเท่ากับไตรมาส 1/2566 ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับ 1,142.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 209.98 ล้านบาท เนื่องจากมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาล ทำให้จำนวนวันในการทำงานลดลงกว่าปกติ ประกอบกับด้วยเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยหดตัวลง


*ส่งออกฉุดยอด


และหากเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับ 1,355.15 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 275.13 ล้านบาทแล้ว โดยผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 อาจยังคงดูลดลง ซึ่งผลกระทบหลักๆ มาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรอบราคาขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาทต่อตัน จากไตรมาส 1/2566 ที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ระดับ 18,000 บาทต่อตัน ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ากรอบราคาขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งหลังปี 2566 จะอยู่ที่ประมาณ 16,500-17,000 บาทต่อตัน


แม้แนวโน้มราคาขายยังคงเป็นขาลงอยู่ แต่ด้วยการปรับตัวลดลงของราคาที่ค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การลดลงของราคาอาจมีช่องว่างไม่มากนัก ซึ่งการลดลงของราคาขายสืบเนื่องมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง โดยราคารับซื้อเศษกระดาษในช่วงไตรมาส 2/2566 ในประเทศอยู่ที่ระดับ 4,750 บาทต่อตัน และนำเข้าจากต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์ต่อตัน จากราคารับซื้อเศษกระดาษในช่วงไตรมาส 1/2566 ในประเทศอยู่ที่ระดับ 5,850 บาทต่อตัน และนำเข้าจากต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 145 ดอลลาร์ต่อตัน


ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายไว้ที่ระดับ 4,200 ล้านบาท หรือมีปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 63,000 ตันต่อปี ซึ่งในไตรมาส 1/2566 คิดเป็นสัดส่วนการขายแล้วราว 27.21% หรือมีปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 24,000 ตันต่อปี สำหรับภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังปี 2566 คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับใกล้เคียงเช่นนี้ต่อไป ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และตัวเลขการส่งออกของไทยยังไม่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


ปั้นสินค้าเพิ่มมาร์จิ้น


บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะหันไปมุ่งเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำผิวกล่อง (Kraft Liner Board) เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่ากระดาษทำลอนลูกฟูก (Corrugating Medium) ซึ่งมีการแข่งขันทางราคาที่ค่อนข้างสูง และในตลาดอาเซียนยังตกอยู่ในสภาวะอุปทานส่วนเกิน (Over Supply)


โดยบริษัทวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการขายกลุ่มสินค้า Kraft Liner Board ให้เพิ่มเป็น 50% ของยอดขายรวม ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วที่ราว 41% ขณะที่แนวโน้มการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 นั้น คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่ระดับ 21.89% เช่นนี้ได้ต่อไป อัตรากำไรสุทธิก็เช่นเดียวกัน มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ได้สูงกว่านี้ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้


สำหรับแผนการลงทุนปี 2566 บริษัทเตรียบงบไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการจะจัดซื้อหม้อไอน้ำ (Boiler) ใหม่ ขนาด 75 ตัน ทดแทน Boiler ชุดเดิม ขนาด 35 ตัน จำนวน 2 เตา ที่มีอายุการใช้งานมากว่า 20 ปี ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการศึกษาการใช้พลังงานเพลิงทดแทนอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ลดการปล่อยคาร์บอร์น และลดต้นทุนทางพลังงาน จากปัจจุบันที่ใช้ถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 2,900 บาทต่อตัน


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1



จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X