#UTP #ทันหุ้น – UTP ชูกลยุทธ์เน้นเพิ่มสัดส่วนยอดขายกระดาษทำผิวกล่อง เนื่องจากมีมาร์จิ้นสูงกว่า ทางด้านราคากระดาษปัจจุบันลดลงถึง 15% คาดไตรมาส 2/2567 ราคาจะเริ่มดีขึ้น มองอุตสาหกรรมกระดาษคราฟต์ไทย ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ปี 2567 มีแรงสนับสนุนการท่องเที่ยวฟื้น และการบริโภคภาคเอกชนจากปัจจัยหนุนนโยบายภาครัฐ และผู้ประกอบการจีนย้ายฐานการผลิต

นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ กรรมการ บริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UTP ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษคราฟต์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2567 เติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 4,191.84 ล้านบาท จากการปรับกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนยอดขายกล่องกระดาษที่มีมาร์จิ้นสูง นอกจากนี้คาดว่าระดับราคาขายกระดาษจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 หลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงถึง 15% ในช่วงที่ผ่านมา

โดยยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 1/2567 ภาพรวมยังคงทรงตัว เนื่องจากราคากระดาษในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมาก ซึ่งเป็นไปตามภาวะการแข่งขัน หากเทียบกับปี 2566 ราคาขายปรับตัวลดลงถึง 15% ขณะที่วอลุ่มการขายไม่ได้ลดลงมากนัก โดยบริษัทหวังว่าในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 ราคาจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น

*เจาะสินค้ามาร์จิ้นสูง

สำหรับการปรับกลยุทธ์ของบริษัทปี 2567 คือเน้นขายกระดาษที่มีมาร์จิ้นสูง ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนยอดขาย กระดาษคราฟต์สำหรับทำผิวกล่อง (Kraft Liner Board)ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่า จากเดิมมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 40% โดยในปีนี้จะขยับเพิ่มขึ้นมาที่ 45-50%

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 จากภาครัฐบาลทั้งการลงทุนและการบริโภค และภาคการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2 อย่างไรก็ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลง โดยโครงสร้างเศรษฐกิจโลกจะปรับไปสู่ภาคบริการมากขึ้น นั่นคือรายได้และอัตราการเจริญเติบโตของประเทศจะมาจากภาคบริการเป็นหลัก โดยปัจจัยที่สำคัญจะส่งผลดีคือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว, การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนโดยมาจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการใช้จ่าย และมีการขยายตัวของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาผลเชิงลบที่จะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตต่ำ ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยในยุโรป ความขัดแย้งในทะเลแดง ภาวะภัยแล้ง ความไม่สงบในหลายภูมิภาคซึ่งกระทบต่อภาคการค้าและวิกฤติพลังงาน การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐและจีน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

*กระดาษคราฟต์ไทย

สำหรับอุตสาหกรรมกระดาษคราฟต์ไทย เชื่อได้ว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หากมองในปี 2567 ยังคงเป็นปีที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตได้ร้อยละ 2 หรืออย่างน้อยก็มีอัตราการเติบโตเทียบเท่าปี 2566 โดยมีปัจจัยและแรงสนับสนุนยังเป็นไปตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนโดยมาจากนโยบายภาครัฐ ประกอบกับการมีการลงทุนของผู้ประกอบการผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกจากจีนที่ได้ย้ายฐานจากจีนมาลงทุนในไทย

โดยในปี 2567 ซึ่ง คาดการณ์ว่าจะมีโรงงานที่ผลิตกล่องลูกฟูกสัญชาติจีนเพิ่มขึ้นกว่า 10 โรงขึ้นไป เหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะส่งผลให้ธุรกิจอุตสาหกรรมกระดาษคราฟต์ไทยมีการเจริญเติบโตได้ หากมองด้านการแข่งขัน จะเห็นได้ว่ายังมีการนำเข้ากระดาษจากต่างประเทศอยู่ แม้ว่าในกลุ่มกระดาษทำลอนจะลดลง แต่กลับกันมีการนำเข้ากระดาษเทสไลน์เนอร์จากต่างประเทศสูงขึ้น ทำให้ยังประเมินได้ว่า การแข่งขันในตลาดยังมีความรุนแรงอยู่

ปัจจุบันลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท ได้เเก่ กระดาษคราฟต์เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ที่ได้นําเยื่อกระดาษ (เยื่อใยสั้นและเยื่อใยยาว) กระดาษ Recycle แป้ง สี และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตกระดาษ นำไปผ่าน กระบวนการผลิตเพื่อออกมาเป็นแผ่นกระดาษคราฟต์

ซึ่งบริษัท ได้ผลิตกระดาษแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. กระดาษคราฟต์สำหรับทำผิวกล่อง (Kraft Liner Board) ส่วนประกอบของกระดาษจะใช้ส่วนผสมของเยื่อใยยาวและเยื่อใยสั้นมาก เพื่อให้กระดาษมีความแข็งแรง และได้มาตรฐานตามความต้องการใช้งาน มีความสวยงาม และความแข็งแรงมากกว่ากระดาษ Corrugating Medium

2. กระดาษคราฟต์สำหรับทำลอนลูกฟูก (Corrugating Medium) ส่วนประกอบของกระดาษจะใช้กระดาษ Recycle 100% เพราะความต้องการและคุณสมบัติของกระดาษชนิดนี้ไม่ จำเป็นต้องสวยงามแข็งแรงเหมือนกระดาษสำหรับทำผิวกล่อง

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon