> SET > UTP

17 กรกฎาคม 2023 เวลา 08:00 น.

UTPปั้มยอดขายไฮมาร์จิ้น อัดงบ200ลบ.อัพบอยเลอร์

#UTP #ทันหุ้น-UTP กางแผนครึ่งหลังปี 66 ปรับเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ทำผิวกล่องไฮมาร์จิ้น เป็น 50%ของยอดขายรวม หวังลดความเสี่ยงการแข่งขันและเลี่ยงโอเวอร์ซัพพลายในอาเซียน มองอุตสาหกรรมยังซึมตัวใกล้เคียงครึ่งแรกปี66 พร้อมคาดกรอบราคาขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีหลังที่ราว 1.65-1.7 หมื่นบาทต่อตัน พร้อมเตรียมแผนลดคาร์บอน หันมาใช้พลังงานทดแทน


นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ กรรมการ บริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UTP ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษคราฟต์ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2566 นั้น บริษัทยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะหันไปมุ่งเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำผิวกล่อง (Kraft Liner Board) เพิ่มมากขึ้น


ปรับแผนรับมือ

เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่ากระดาษทำลอนลูกฟูก (Corrugating Medium) ที่มีการแข่งขันทางราคาที่สูง และในตลาดอาเซียนยังตกอยู่ในสภาวะอุปทานส่วนเกิน โดยบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกลุ่ม Kraft Liner Board ให้เพิ่มเป็น 50%ของยอดขายรวม จากปัจจุบันที่ราว 41% ขณะที่แนวโน้มการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสแรกปีนี้ที่ระดับ 21.89% ต่อไป


ภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังปี 2566 คาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับใกล้เคียงเช่นนี้ต่อไป ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และตัวเลขการส่งออกของไทยยังไม่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทประเมินกรอบราคาขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เบื้องต้นไว้ในกรอบประมาณ 16,500-17,000 บาทต่อตัน แม้แนวโน้มราคาขายยังคงเป็นขาลงอยู่ แต่ด้วยการปรับตัวลดลงของราคาที่ค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การลดลงของราคาอาจมีช่องว่างไม่มากนัก


ต้นทุนวัตถุดิบลด

โดยการลดลงของราคาขายเป็นผลมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง โดยราคารับซื้อเศษกระดาษในช่วงไตรมาส 2/2566 ในประเทศอยู่ที่ระดับ 4,750 บาทต่อตัน และนำเข้าจากต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 120 ดอลลาร์ต่อตัน จากราคารับซื้อเศษกระดาษในช่วงไตรมาส 1/2566 ในประเทศอยู่ที่ระดับ 5,850 บาทต่อตัน และนำเข้าจากต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 145 ดอลลาร์ต่อตัน


ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายไว้ที่ระดับ 4,200 ล้านบาท หรือมีปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 63,000 ตันต่อปี ซึ่งในไตรมาส 1/2566 คิดเป็นสัดส่วนการขายแล้วราว 27.21% หรือมีปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 24,000 ตันต่อปี


อัดงบอัพบอยเลอร์

สำหรับธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2566 มองว่าอาจไม่ดีเมื่อเทียบเท่ากับไตรมาส 1/2566 ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับ 1,142.57 ล้านบาท เนื่องจากมีช่วงวันหยุดยาวเทศกาล ทำให้จำนวนวันในการทำงานลดลงกว่าปกติ ซึ่งตามปกติไตรมาส 2/2566 จะเป็นโลวซีซันของธุรกิจอยู่แล้ว ประกอบกับด้วยเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยหดตัวลง


และหากเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ระดับ 1,355.15 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 275.13 ล้านบาทแล้ว ผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 อาจยังคงดูหย่อนลง ผลกระทบหลักๆ มาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรอบราคาขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาทต่อตัน จากไตรมาส 1/2566 ที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ระดับ 18,000 บาทต่อตัน


เตรียมแผนลดคาร์บอน

ด้านแผนการลงทุนปี 2566 บริษัทเตรียบงบไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการจะจัดซื้อหม้อไอน้ำ (Boiler) ใหม่ ขนาด 75 ตัน ทดแทน Boiler ชุดเดิม ขนาด 35 ตัน จำนวน 2 เตา ที่มีอายุการใช้งานมากว่า 20 ปี ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการศึกษาการใช้พลังงานเพลิงทดแทนอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ลดการปล่อยคาร์บอร์น และลดต้นทุนทางพลังงาน จากปัจจุบันที่ใช้ถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 2,900 บาทต่อตัน

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X