#SAK #ทันหุ้น-SAK วางเป้าพอร์ตปี 67 โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน หรือมูลค่าพอร์ตคงค้างแตะระดับ 1.4 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 66 ที่คาดทำได้เหนือ 1.24-1.25 หมื่นล้านบาท กางแผนรุกขยายไลน์สินเชื่อด้านพลังงานทดแทน และสินเชื่อทะเบียนรถเพื่อการลงทุน หลังเห็นดีมานด์มีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้าน NPL โค้งสุดท้ายปีนี้คาดอาจต่ำกว่าระดับ 2.5%

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ “ศักดิ์สยามลิสซิ่ง” เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อคงค้างไว้ที่ระดับไม่น้อยกว่า 15% จากปีก่อน หรือพอร์ตแตะที่ระดับมากกว่า 14,000 ล้านบาท โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนจะเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

*รุกขยายไลน์สินเชื่อ

โดยจะมุ่งเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและการประกอบกิจการลงได้ รวมถึงการขยายธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถเพื่อการลงทุน ประกอบด้วยสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเงื่อนไขเกษตรกร และสินเชื่อเช่าซื้อ ครอบคลุมทั้งประเภทรถยนต์ รถบรรทุก รถไถ หรือรถเพื่อการเกษตร รองรับความต้องการของประชาชนที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพอย่างกว้างขวาง

และที่สำคัญการขยายฐานลูกค้ากลุ่มเกษตรกรหรือผู้ดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตสินเชื่อรวมให้กับบริษัทในปีถัดไป นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่อีกประมาณ 40-50 สาขา โดยจะเริ่มเห็นหลังจากช่วงไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป จากสิ้นปี 2566 ที่บริษัทมีสาขาที่เปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น จำนวน 1,029 สาขา กระจายใน 41 จังหวัดทั่วประเทศไทย มองว่าความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อการเกษตรและเพื่อประกอบธุรกิจยังคงมีอีกมาก

ภาพรวมตลาดสินเชื่อในปี 2567 คาดการณ์ว่าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รับกับภาวะเศรษฐกิจคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย (GDP) เติบโต ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว และผลักดันให้ระบบโลจิสติกส์มีดีมานด์มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า คาดสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันและสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มรถบรรทุกจะเริ่มฟื้นตัว

*รักษาระดับNPL

ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2566 จะยังคงทรงตัว หรืออาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทยังให้ความระมัดระวังด้านคุณภาพลูกหนี้ เพื่อไม่ก่อให้เกิดหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ปัจจุบันบริษัทยังคงรักษาระดับไว้ได้ค่อนข้างดี ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญออกไปจำนวนหนึ่ง ซึ่ง NPL ที่ตัดจำหน่ายออกไปเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 2563-2565

ส่งผลบริษัทให้คาดว่า NPL ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2566อาจปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงสิ้นไตรมาส 3/2566 ที่อยู่ที่ระดับ 2.5% ขณะที่อัตราการยึดรถนั้น ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ราว 100-200 คันต่อเดือน แต่ก็จะมีการทยอยจำหน่ายออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้ยังมีรถยึดคงค้างในมือ (Inventory) อยู่ที่ราว 400 คัน

การจำหน่ายรถยึดหลังจากนี้อาจต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่องจากราคารถมือ 2 ค่อนข้างหดตัวลงอย่างมาก เพราะซัพพรายในตลาดค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับดีมานด์ที่ขยายตัวตามไม่ทัน

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายหมายเติบโตของพอร์ตสินเชื่อคงค้างในช่วงสิ้นปี 2566 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 15% จากปีก่อน หรือแตะที่ระดับกว่า 12,400-12,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้พอร์ตสินเชื่อของบริษัททำได้อยู่ที่ระดับ 11,857 ล้านบาทแล้ว

ในส่วนของแนวโน้มสินเชื่อเพื่อการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปสำหรับที่อยู่อาศัย (STC) คาดว่าในช่วงที่เหลือปีนี้จะมียอดขายและการติดตั้งกว่า 50 หลังคา ส่วนสินเชื่อโดรนเพื่อการเกษตรในปี 2566 คาดว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 50-60 ลำ ในปีหน้าคาดรายได้จากการให้บริการการฉีดพ้นยาจะเติบโตได้สูงถึง 2-3 เท่า จากปีนี้