#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงจากแรงขายที่แนวต้าน 1,360 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลงที่ 1,340 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,360 และมีแนวต้านสำคัญที่ 1,380

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการตลาดภายในประเทศ ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย

ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 67 มีกำไร 1,400 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.30 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 66 มีกำไร 1,205 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.37 บาท

ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 3,771 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.81 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 66 มีกำไร 3,255 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.81 บาท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า บริษัทได้ประกาศเปิดตัว "กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573" โรดแมปใหม่เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายทำยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.45 แสนล้านบาท (US$7billion) ภายในปี 73 จาก 1.36 แสนล้านบาท (US$3.9 billion) ในปี 2567 และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 100% จากประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท (US$400 million) เป็น 2.45-2.8 หมื่นล้านบาท (US$700-US$800 million) หรือเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายใน 6 ปีข้างหน้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล

สำหรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73 ของไทยยูเนี่ยนแบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA โดยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่ง 3 แกนหลักนี้ประกอบด้วย

1. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ๆ

2. การสร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต ซึ่งมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

3. การเปิดน่านน้ำใหม่ โดยมุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต

ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีได้ 2,625 ล้านบาท (US$75 million) ตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป โดย 40% ของเงินส่วนนี้จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป โปรเจ็กต์โซนาร์มีเป้าหมายที่จะสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 73 สร้างขีดความสามารถด้านการจัดซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นอย่างเต็มรูปแบบ

โปรเจ็กต์เทลวินด์ (Tailwind) เป็นแผนการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ประมาณ 1.75 พันล้านบาท (US$50 million) ต่อปี สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ปี 70 เป็นต้นไป ซึ่งกุญแจสู่สำเร็จคือ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาด รู้ลึก รู้จริงถึงความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและกระบวนการผลิต

ขณะที่โปรเจ็กต์เทลวินด์จะมุ่งเน้นไปที่การเร่งขับเคลื่อนการเติบโตจากการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในปัจจุบัน บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) จะมุ่งสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ 3 เท่า อยู่ที่ประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท (US$1.5 billion) ภายในปี 73

ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลง หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 12.30-12.50 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 13.50 และ 14.00 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 12.20 ลงไป ควรขายหุ้นออกไปก่อน