ทันหุ้น – ผู้บริหาร PRMชี้  ดีมานด์เรือ FSU แรงไม่ตก อัตราใช้บริการเต็ม 100%ดันรายได้ปีนี้โตเกิน 10-15%  มีลุ้นเซ็นสัญญาเรือ FSO กับปตท.สผ.ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ กางแผนปี 2564 คาดใช้เงินลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท ขยายกองเรือใหม่ ขณะที่เข้าลงทุนไทยออยล์มารีน หนุนการเติบโตระยะยาว

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจเดินเรือขณะนี้ ความต้องการใช้เรือดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป (“ธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU”) ซึ่งอัตราการใช้บริการ (Utilization Rate) เต็ม100%

ขณะที่เรือขนาดเล็กอาจจะมีความต้องการใช้ลดลง โดยเฉพาะการขนส่งนํ้ามันอากาศยาน (Jet Fuel) แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์ครึ่งปีหลังดีขึ้นหลังจากการชีดวัคซีนกันอย่างแพร่หลายและสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ เชื่อว่าดีมานด์ของน้ำมัน Jet จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้อัตราการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

*ดีมานด์เรือโตดี

ขณะที่ธุรกิจเรือ Domestic trading ก็มีการฟื้นตัวได้ดี นอกจากนี้เรือธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน ("ธุรกิจเรือ FSO") มีโอกาสที่จะเข้าเซ็นสัญญากับทาง ปตท.สผ.ได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ เป็นไปตามกระบวนการต่อเนื่อง หลังจากที่ปตท.สผ เตรียมการเข้าพื้นที่สำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นมา ทำให้โดยรวมแล้วปีนี้รายได้รวมมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15%

พร้อมกันนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากการเข้าไปลงทุนในบริษัท ไทยออยล์มารีน จำกัด คาดว่ากระบวนการซื้อขายจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน 2564 ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะสามารถขยายกองเรือและเพิ่มศักยภาพของธุรกิจขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นนอกจากนั้น บริษัทจะสามารถสร้างให้เกิด Synergy ระหว่างธุรกิจของกลุ่มบริษัท ไทยออยล์มารีน จำกัด และกลุ่มบริษัท ซึ่งจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานได้มาก เป็นโอกาสที่จะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว

*ทุ่ม 3 พันล.ขยายกองเรือ

ขณะเดียวกันปีนี้ บริษัทยังตั้งงบลงทุนประมาณ 3,000ล้านบาทเพื่อรองรับการขยายกองเรือ ซึ่งปีนี้บริษัทมีโอกาสที่จะเพิ่มเรือขนาดใหญ่อย่างน้อย 1 ลำ อีกทั้งยังมีการเจรจาที่จะเพิ่มเรือขนาดเล็กอีกราว 3-5 ลำ เพื่อมารองรับการขยายงาน ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีกองเรือประมาณ 40 ลำ

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง PRM ว่า ไตรมาส 4/2563 มีแนวโน้มเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทรงตัว และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ จากธุรกิจเรือ FSU ที่ปรับค่าบริการเพิ่มขึ้น 20-25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนธุรกิจเรือ Domestic แนวโน้มดีขึ้น หลังผ่านพ้นช่วง Lockdown ประกอบกับมีรับเรือลำใหม่ 1 ลำ ขนาด 3,000 DWT (ทดแทนเรือลำเก่าที่ขนาด 2,000DWT ที่ขายไปใน ไตรมาส 2/2563) โดยทั้งปี 63 Bloomberg คาดกำไรราว 1,585 ล้านบาท เติบโต 55% จากช่วงเดียกวันปีก่อน (กำไร 9 เดือนปี 2563 เท่ากับ 1,243 ล้านบาท คิดเป็น 78% ของคาดการณ์ปี 2563)

*ลงทุนไทยมารีนเป็นบวก

ขณะที่มุมมองบวกต่อปี 2564 หลังจากทำสัญญาซื้อขายหุ้น บริษัท ไทยออยล์มารีน จำกัด คาดดีลแล้วเสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งจะช่วยต่อยอดรายได้ของบริษัทในปี 2564 ตลอดจนการ Synergy กับ TOP จะช่วยให้รายได้ในอนาคต Secure ทั้งนี้สิ่งที่ PRM ได้รับจากการซื้อ บ.ไทยออยล์มารีน มี 2 ประการ คือ 1) ในระยะสั้น โดยความสามารถในการขนส่งเพิ่มขึ้น จากกองเรือเพิ่มขึ้นทันที่ 18 ลำ จาก 40 ลำ สู่ 58 ลำ แบ่งเป็นธุรกิจเรือขนส่งน้ามันทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเรือ Crew boat ในธุรกิจ Offshore

2.ในระยะยาว โดย Synergy ระหว่างการขนส่งน้ำมันโดย PRM และนาเข้าน้ำมันโดย TOP ช่วยสนับสนุนการขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยมีแผน 1) เพิ่มเรือขนส่งน้ำมันดิบ (VLCC) 3 ลำ (TC-10ปี) 2) เพิ่มเรือขนส่งขนาดเล็ก 3 ลำ (TC & COA – 5ปี) และ 3) การให้บริการ Ship Agent ทั้งนี้ Bloomberg consensus 12.10 บาท