#TMILL #ทันหุ้น – TMILL ส่งสัญญาณทิศทางราคาข้าวสาลีเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนราคาต้นทุนลดลงตามตลาดโลก เร่งบริหารจัดการสต๊อกข้าวสาลีปัจจุบันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หนุนยอดขายดีด เล็งเพิ่มรถขนส่งรองรับ พร้อมโฟกัสขยายตลาด เพิ่มช่องทางทำเงิน

นางแววตา กุลโชตธาดา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ทิศทางยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 1/2567คาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งราคาข้าวสาลียังปรับตัวลดลง แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก

** ปีนี้ดีกว่าปีก่อน

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 นี้ คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2566 ที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 59.10 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ลดลง 50.31 ล้านบาท คิดเป็น 46.0% และมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 1,870.46 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 1,965.20 ล้านบาท

สำหรับราคาในปี 2566 ที่ลดลงเนื่องจากราคาข้าวสาลีปรับตัวลดลง ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1/2566 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยสถานการณ์ความผันผวนของราคาวัตถุดิบโลก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยนัก ส่งผลให้บริษัทมียอดจำหน่ายแป้งต่ำกว่าเป้าหมาย และมีสต๊อก วัตถุดิบที่ราคาสูงคงเหลือยาวนานกว่าปกติ แต่ในด้านราคาจำหน่ายกับถูกลูกค้าต่อรองลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทจำเป็นต้องยอมขายขาดทุนเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ โดยยังต้องแบกรับภาระสต๊อกข้าวที่มีต้นทุนสูงอยู่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา

** ยอดขายครึ่งหลังโต

สำหรับแนวโน้มราคาสต๊อกข้าวสาลีของบริษัทยังอยู่ในระดับสูง ไปจนถึงไตรมาสที่ 2/2567 โดยบริษัทประเมินว่าราคาข้าวสาลีจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยราคาของต้นทุนจะลดลงตามราคาข้าวสาลีในตลาดโลก ซึ่งบริษัทเองได้เร่งบริหารจัดการสต๊อกข้าวสาลีปัจจุบันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนแผนการขยายตลาดของบริษัทในปีนี้ ยังคงจะมีการขยายไปยังตลาดต่างจังหวัดเพิ่มเติม และปรับเปลี่ยนวิธีการขายให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายให้มีการเติบโต ส่วนการลงทุนปีนี้อาจจะยังไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนมากนัก เบื้องต้นคาดว่าจะมีการเพิ่มรถขนส่งเพื่อให้ตอบรับกลับลูกค้าได้ดีขึ้น เนื่องจากบริษัทอยากโฟกัส การขยายตลาดและเพิ่มช่องทางการขายให้มีความเสถียรก่อน

นอกจากนี้บริษัทยังต้องบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบหลักคือข้าวสาลี นำเข้าจากต่างประเทศ ใช้การชำระเงินจะใช้สกุลเงินสหรัฐเป็นหลัก ในขณะที่สินค้าทั้งหมดผลิตและจัดจำหน่ายภายในประเทศ การดำเนินดำเนินธุรกิจอาจจะส่งผลให้บริษัทได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ก็จะทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น

** บาทแข็งต้นทุนลด

ขณะเดียวกันหากค่าเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้ต้นทุนของบริษัทต่ำลง ดังนั้นเพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนบริษัทมีการเฝ้าดูสถานการณ์รายวันและคอยรายงานต่อผู้บริหารรวมถึงมีการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่ยุทธศาสตร์ และจัดประชุมใหญ่เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินและประเมินความเสี่ยงของผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนพร้อมกับกำหนดแนวทางตอบสนองความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

อย่างไรก็ดี การทำธุรกรรมทางการเงิน โดยการจองซื้ออัตราแลกเปลี่ยนตามสกุลเงินในการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศล่วงหน้า (Fixed Forward Exchange Rate) เพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงบริษัทไม่มีนโยบายเก่งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน การทำสัญญาจองซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้านั้นจะอยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหาร ซึ่งในการทำสัญญาดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนไม่ให้มีความผันผวนมากนักและทราบต้นทุนล่วงหน้าได้ดังนั้นผลการดำเนินงานที่ผ่านมาบริษัทจึงยังไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังมีนัยสำคัญ

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

X คลิก https://twitter.com/thunhoon1

Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=