ทันหุ้น - บิ๊กบอส ETE “ไรวินท์ เลขวรนันท์” เตรียมประกาศข่าวดี คว้าบิ๊กโปรเจ็กต์ ได้เร็วๆ นี้ พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่อีกกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ส่งสัญญาณผลงานครึ่งปีแรกโดดเด่น หลังคุมต้นทุนอยู่หมัด เล็งปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้โตทะลุ 20-30%
นายไรวินท์ เลขวรนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมประกาศข่าวดีจากการได้งานธุรกิจบริการบริหารจัดการระบบงานธุรกิจ(Outsourcing) คาดจะเห็นความชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า หรือไม่เกินปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งปัจจุบันงานดังกล่าวอยู่ระหว่างรออนุมัติจากบริษัทลูกค้า เนื่องจากเป็นงานขนาดใหญ่ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท และหากเป็นไปตามแผนคาดจะเริ่มดำเนินงานและรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 เป็นต้นไป โดยมีระยะสัญญางาน 1 ปี 5 เดือน
ใส่เกียร์ลุยงานตามแผน
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานอื่นๆ ตามแผน โดยมีมูลค่ารวม 14,000-15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งานกลุ่มวิศวกรรมไฟฟ้า คือ โครงการนำสายไฟฟ้าลงดินและสถานีไฟฟ้าย่อย ในจังหวัดต่างๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) มูลค่าโครงการราว 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นงาน Outsourcing มูลค่าโครงการราว 4,000-5,000 ล้านบาท โดยงาน Outsourcing จะทยอยรู้ผลภายในช่วงต้นพฤษภาคมนี้
“เรายังเดินหน้าประมูลงานใหม่ตามแผน ทั้งงานวิศวกรรมไฟฟ้า และ Outsourcing ซึ่งงานที่เราจะรู้ผลเร็วๆ นี้ก็เป็น 1 ในงานที่เรายื่นประมูลไป แต่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะลูกค้ากำลังนำเรื่องเข้าบอร์ด เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ส่วนทิศทางการได้งานอื่นๆก็น่าจะเป็นไปตามแผน”นายไรวินท์ กล่าว
ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2561 คาดจะเติบโตดี และสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการบริหารได้รัดกุม ทำให้คาดว่าจะเห็นมาร์จิ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับที่ดีพอสมควร โดยบริษัทคาดทิศทางอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่ 4.43% อีกทั้งบริษัทจะพยายามผลักดันมาร์จิ้น และยอดขายธุรกิจ Outsourcing ภายในปี 3 (2561-2563) ให้เติบโตเป็น 3 เท่าตัว จากการเปลี่ยนแปลงการบริหารบุคคลากร โดยนำซอฟต์แวร์เข้ามาบริหารจัดการแทนบุคคลากร ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เล็งอัพเป้าหมายรายได้
พร้อมกันนี้ บริษัทมีโอกาสจะปรับเป้าหมายรายได้ปี 2561 ให้เติบโตมากกว่าแผน จากเดิมตั้งเป้าเติบโต 20-30% จากปี 2560 แต่อย่างไรก็ตามบริษัทขอดูผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 และงานที่ได้เข้ามาใหม่ว่าจะสามารถรับรู้ได้ทันภายในปีนี้หรือไม่ หลังจากนั้นบริษัทจึงจะปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ และแผนการดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือ
สำหรับการเติบโตในปีนี้จะมาจากการรับรู้งานในมือ(Backlog) ที่มีอยู่ราว 1,500-1,600 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปี 2561 ราว 90% อีกทั้งบริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้ง หรือการจำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัยเข้ามาเกือบ 100 ล้านบาท ส่วนทั้งปี 2561 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท ทั้งนี้คาดสัดส่วนรายได้ในปี 2561 จะมาจากธุรกิจ Outsourcing 40% ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม 50% และอื่นๆ 10%
นายไรวินท์ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ด้านธุรกิจพลังงาน บริษัทเตรียมจะขยายงานไปยังด้านการติดตั้งไฟฟ้าบนหลัง (โซลาร์รูฟท็อป) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรม ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าหลายราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/2561 ขณะเดียวกันบริษัทจะรับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) เข้ามาในปี 2561 เต็มปี เนื่องจากช่วงเดือนมกราคม 2560 บริษัท COD โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม ไม่เต็มเดือน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตพลังงานทั้งหมด 16.47 เมกะวัตต์